UNDP เปิดเผยสถิติคดีฟ้องปิดปากโดยภาคธุรกิจเป็นการคุกคามจนเสียชีวิต 37%
February 11, 2024
ในช่วงที่ผ่านมานักปกป้องสิทธิมนุษยชนในไทยลุกขึ้นมาเรียกร้องและปกป้องสิทธิในหลายประเด็นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนักปกป้องสิทธิมนุษยชนนั้นคือบุคคลทั่วไปที่ประกอบอาชีพอะไรก็ได้แต่กำลังเผชิญการละเมิดสิทธิมนุษยชนบางประการที่กระทบต่อการดำเนินชีวิต สุขภาพ และสภาพแวดล้อมของบุคคลนั้นหรือคนที่เกี่ยวข้อง และเลือกที่จะปกป้องสิทธิของตนเองและชุมชน โดยอาจจะดำเนินการเป็นปัจเจกหรือรวมตัวกันเป็นกลุ่มคนก็ได้ แต่ความก้าวหน้าของการลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิในไทยก็ตามมาด้วยราคาสูงที่นักปกป้องสิทธิมนุษยชนต้องจ่าย
ในวันป้องกันความรุนแรงจากแนวคิดสุดโต่งสากลที่เป็นวันที่ 12 กุมภาพันธ์ของทุกปี โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) เปิดเผยรายงาน 2 ฉบับเกี่ยวกับการดำเนินคดีฟ้องปิดปากโดยภาคธุรกิจและบทบาทของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ที่ชี้ให้เห็นว่าเสรีภาพการแสดงออกของกลุ่มนักเคลื่อนไหวดังกล่าวในไทยยังถูกคุกคาม การส่งเสริมหลักสิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรม จึงเป็นอีกแนวทางในการป้องกันความรุนแรง
นักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ลุกขึ้นมาเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจถูกคุกคามหลายรูปแบบ ถึงขั้นเสียชีวิต 30%
โดยผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจเป็นหนึ่งในประเด็นที่นักปกป้องสิทธิมนุษยชนลุกขึ้นมาปกป้องมากที่สุด ซึ่งทำให้ทำให้นักปกป้องสิทธิมนุษยชนตกเป็นเป้าของการถูกโจมตีของภาคธุรกิจในหลากหลายรูปแบบ
จากข้อมูลเชิงสถิติจากรายงานการศึกษาเรื่องการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนโดยโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) พบว่าระหว่าง พ.ศ. 2544 ถึง พ.ศ. 2564 นักปกป้องสิทธิมนุษยชนตกเป็นเป้าจนถึงขั้นเสียชีวิตถึงร้อยละ 30 ในขณะที่การคุกคามรูปแบบอื่นๆ มีตั้งแต่ทำร้ายร่างกาย ถูกติดตาม และถูกจับกุม จนถึงสูญหาย
มีคดีฟ้องปิดปากประชาชน 109 คดีใน 25 ปีที่ผ่านมา โดยธุรกิจเหมืองแร่ริเริ่มดำเนินคดีมากที่สุด
นอกเหนือจากการคุกคามในรูปแบบข้างบน การใช้กระบวนการยุติธรรมเพื่อละเมิดนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในรูปแบบของการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณชนหรือ ‘การฟ้องปิดปาก’ ถูกพบเห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ในไทย โดยการฟ้องคดีปิดปากโดยภาคธุรกิจเป็นได้ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา ที่มีจุดประสงค์เพื่อบั่นทอนพลังงานและทรัพยากรของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในการลุกขึ้นมาเรียกร้องปกป้องสิทธิจนทำให้นักปกป้องสิทธิมนุษยชนเผชิญกับอุปสรรคในการแสดงออกทางความคิดเห็นและขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
รายงานการศึกษาเรื่องกฎหมายและมาตรการป้องกันการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณะในบริบทธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนพบว่าในช่วง 25 ปีหรือระหว่าง พ.ศ. 2540 จนถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565 มีคดีที่เข้าข่ายลักษณะเป็นคดีฟ้องปิดปากโดยภาคธุรกิจและรัฐวิสาหกิจ รวมจำนวนทั้งสิ้น 109 คดี โดยในไทยมีทั้งคดีแพ่งและอาญาซึ่งคดีอาญามีบทลงโทษที่รุนแรงมากกว่า เป็นคดีอาญาร้อยละ 74 คดีแพ่งร้อยละ 26 โดยพบว่าบริษัทที่ประกอบกิจการเหมืองแร่เป็นผู้ริเริ่มดำเนินคดีมากที่สุด ร้อยละ 34 รองลงมา คือ ภาคธุรกิจในกิจการอุตสาหกรรมปศุสัตว์ ร้อยละ 21.1 และภาคธุรกิจในกิจการพลังงาน ร้อยละ 13.8 สอดคล้องกับอีกสถิติที่ชี้ว่าในประเด็นคดีฟ้องปิดปากทั้งหมด เป็นประเด็นทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกินครึ่ง หรือ 53%
กลุ่มเป้าหมายที่มักมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกฟ้องคดีปิดปากมักเป็นกลุ่มผู้นำชุมชนหรือนักกิจกรรมที่ออกมาขับเคลื่อนประเด็นสิ่งแวดล้อมผ่านการเผยแพร่ข้อมูล/การแสดงออกทางออนไลน์ (ร้อยละ 28) รองลงมา คือ การชุมนุม/สมาคม (ร้อยละ 21) การให้สัมภาษณ์สื่อ (ร้อยละ 15) การทำหน้าที่สื่อ (ร้อยละ 10) และการยื่นเรื่องร้องเรียนต่อหน่วยงาน (ร้อยละ 9)
ผลกระทบที่ตกกับผู้ที่ถูกคดีฟ้องปิดปากและเสรีภาพการแสดงออกของคนไทย
“ต้องไปศาลประมาณเดือนละครั้ง เกิดค่าใช้จ่ายและเสียเวลา เพราะใช้เวลาในศาลเกือบปี” นี่คือการให้สัมภาษณ์ของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนระหว่างการทำรายงานการศึกษาเรื่องการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนโดย (UNDP)
คดีฟ้องปิดปากส่งผลกระทบต่อทั้งการงานและจิตใจของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน เนื่องจากส่วนใหญ่ยังต้องประกอบอาชีพและเรียนหนังสือ ผลกระทบของการฟ้องคดีปิดปากสร้างภาระทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และจิตใจให้แก่ผู้ถูกฟ้อง และยิ่งคดีที่ต้องใช้ระยะเวลาพิจารณาที่ยาวนานและเป็นคดีอาญาที่มีโทษจำคุก ก็ยิ่งสร้างภาระ ความกดดันตลอดจนความกลัวให้เกิดขึ้นต่อผู้ถูกฟ้องและกลุ่มบุคคลที่จะออกมาใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อปกป้องสิทธิของตนเอง ชุมชน และประโยชน์สาธารณะอื่น ๆ ในอนาคต
การคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจึงถูกระบุให้เป็นหนึ่งในสี่ประเด็นสำคัญของแผนปฏิบัติการแห่งชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนฉบับแรก และฉบับที่สองของประเทศไทย (The National Action Plan on Business and Human Rights: NAP) โดยมีการนำเสนอมาตรการต่าง ๆ เช่น การแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การเข้าถึงกระบวนการร้องเรียนและการเยียวยาของผู้ได้รับผลกระทบ
อย่างไรก็ตามระดับความเข้าใจและการยอมรับต่อบทบาทของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ไม่สอดคล้องกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับท้องถิ่นยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ ดังนั้นบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม เช่น ผู้พิพากษา พนักงานอัยการ และทนายความ จึงมีบทบาทสำคัญต่อการการคุ้มครองและการเข้าถึงการเยียวยาของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน รวมถึงการเข้าใจและยอมรับการเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ของสังคม เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยต่อเสรีภาพการแสดงออกของประชาชน
“หน่วยงานรัฐต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน คุณจะต้องมองเห็นพวกเราที่เป็นประชาชน ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชนไม่ใช่เป็นพวกที่ขัดขวางการพัฒนา” นักปกป้องสิทธิมนุษยชนกล่าวไว้ระหว่างการจัดทำรายงานฉบับนี้
รายงานการศึกษาเรื่องการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนโดยโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ