การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล (Digital Transformation) มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับรัฐสภาและฝ่ายนิติบัญญัติของประเทศต่างๆ ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพ ความโปร่งใส และความรับผิดชอบ (accountability) ในการกำกับดูแล การเปลี่ยนผ่านดังกล่าวจะช่วยปรับปรุงคุณภาพและต้นทุนประสิทธิผล (cost-effectiveness) ในการสนับสนุนและการบริหารสำหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากความสนใจและการมีส่วนร่วมของประชาชนที่เพิ่มขึ้นในกระบวนการนิติบัญญัติและการเลือกตั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารในประเทศไทยต่างมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและปฏิรูปความสามารถทางดิจิทัลของตน เพื่อให้ได้รับประโยชน์นานัปการจากการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบดิจิทัล รายงานฉบับนี้มุ่งเน้นการประเมินความพร้อมของฝ่ายบริหารของรัฐสภาไทย ตลอดจนให้ข้อเสนอแนะและแนวทางเกี่ยวกับประเด็นสำคัญในการจัดทำยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลของประเทศไทย รวมถึงข้อเสนอแนะในการพัฒนาระบบภายในและการใช้กลไกการมีส่วนร่วมของประชาชน (Public engagement) ที่มีความเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อใช้เป็นข้อมูลในกระบวนการบัญญัติกฎหมายและการกำหนดนโยบายต่อไป

ในการมีส่วนร่วมทางดิจิทัลกันภาคส่วนภายนอกอย่างมีประสิทธิภาพ รัฐสภาจำเป็นต้องทบทวนเกี่ยวกับโครงสร้างดิจิทัลภายในของตน ประเมินสิ่งที่มีอยู่เพื่อพัฒนาและลงทุน และกำหนดทิศทางที่จะนำการปรับปรุงทางดิจิทัลมาช่วยให้บรรลุเป้าหมายขั้นตอนเหล่านี้จำเป็นต้องมีการลงทุนระยะยาว ซึ่งควรดำเนินไปพร้อมกับการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลของฝ่ายบริหาร ซึ่งปัจจุบันมีความก้าวหน้ามากกว่า รัฐสภาไทยจึงควรตระหนักว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลในระดับที่เป็นเท่ากันระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ อาจเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูหลักชะและความชอบธรรมของฝ่ายนิติบัญญัติ ดังนั้นจึงควรพัฒนาในประเด็นดังกล่าวอย่างเร่งด่วน